•ระบบ(System)
•ระเบียบ(วินัย) (Discipline)
•การบริหารเงิน (Money management)
•การควบคุมอารมณ์ (Emotional management)
ซึ่ง ทั้งสี่ปัจจัยนี้ สัมพันธ์กันอยู่เหมือนก้อนหินที่เราเอามาตั้งเป็นก้อนเส้าทำเตาไฟ ถ้าดึงก้อนใดก้อนหนึ่งออก เตาก็จะอยู่ไม่ได้ต้องล้มลง
1.ระบบ
ระบบที่ว่านี้จะเป็นอะไรก็ได้ ที่ถนัด หรือเคยใช้ ไม่ว่าจะเป็นอินดิเคเตอร์ตัวใดตัวหนึ่ง , price pattern, ซื้อขายตามแนวต้านแนวรับ ฯลฯ แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ ก่อนนำมาใช้ควรได้มีการทดสอบมาก่อนว่าระบบนี้ มีความคาดหวังเป็นบวก (positive expectancy)
Expectancy คือ จำนวนเงินเท่าไรที่เราคาดหวังว่าจะได้รับจากเงินแต่ละหน่วย(บาท/ดอลลาร์ etc.)ที่เราเสี่ยงลงไปเทรด ซึ่งค่า expectancy ก็จะต้องเป็นบวก หมายถึงว่าระบบนี้ทำกำไรได้ ถ้า expectancy เป็นลบก็หมายถึงระบบนี้ขาดทุน เล่นแล้วเจ๊ง
ค่า Expectancy จะได้มาอย่างไร? : ค่านี้ก็ต้องได้จากการคำนวณ โดยเก็บข้อมูลจากการเทรดจริงหรือเทรดสมมุติก็แล้วแต่ ด้วยจำนวนครั้งการเทรดที่มากพอ (แนะนำจำนวน 30 ครั้งขึ้นไปตามหลักสถิติสำหรับการวิจัย และ แนะนำว่าสำหรับมือใหม่ ควรทำการเทรดสมมุติเพื่อทดสอบระบบก่อน เพราะถ้าเทรดจริง เงินที่ลงไปมันก็เงินจริงและเป็นเงินของคุณ ถ้าระบบมันเจ๊ง ก็เจ๊งเป็นเงินจริงนะ)
การเก็บข้อมูลก็ง่ายๆไม่ซับซ้อน คือบันทึกสถิติเหล่านี้
•จำนวนครั้งที่เทรดถูก (Win trade)
•จำนวนครั้งที่เทรดผิด(Loss Trade)
•จำนวนเงินที่ได้กำไรแต่ละครั้ง
•จำนวนเงินที่ขาดทุนแต่ละครั้ง
คำนวณตามสูตรนี้
Expectancy = Win rate(%)x Average Win – Loss rate(%)xAverage Loss
Win rate = อัตราการเทรดถูก (%) = จำนวนครั้งที่เทรดถูก/จำนวนการเทรดทั้งหมดX100
Average Win = จำนวนเงินที่ได้กำไรเฉลี่ย = จำนวนเงินที่กำไรทั้งหมด/จำนวนครั้งที่เทรดถูก
Loss rate = อัตราการเทรดผิด (%) = จำนวนครั้งที่เทรดผิด/จำนวนการเทรดทั้งหมดX100
(หรือเอา 100-Win rate ก็ได้เหมือนกันใช่ป่าวล่ะ)
Average Loss = จำนวนเงินที่ได้ขาดทุนเฉลี่ย = จำนวนเงินที่ขาดทุนทั้งหมด/จำนวนครั้งที่เทรดผิด
ตัวอย่าง
ระบบ A
มี Win rate = 50%, Average win = 7000 บาท Loss rate = 50% Average Loss = 4000 บาท
ระบบ A จะมี Expectancy = 0.5x7000-0.5x4000 = 1500 บาท
ดัง นั้นระบบ A มีความคาดหวังเป็นบวก (positive expectancy) หากเราเทรดด้วยระบบ A ไปเรื่อยๆในระยะยาว ผลที่ได้คือกำไรที่จะทยอยสะสมเพิ่มขึ้นมา
ระบบ B
มี Win rate = 70%, Average win = 3000 บาท Loss rate = 30% Average Loss = 8000 บาท
ระบบ B จะมี Expectancy = 0.7x3000-0.3x8000 = -300 บาท
ดัง นั้น ระบบ B มีความคาดหวังเป็นลบ (Negative expectancy) หากเราเทรดด้วยระบบ B ไป ในที่สุดแล้วเราจะลงเอยด้วยการขาดทุน ต้นทุนจะหายไปเรื่อยๆ
ระบบ C
มี Win rate = 30%, Average win = 12000 บาท Loss rate = 70% Average Loss = 2500 บาท
ระบบ C จะมี Expectancy = 0.3x12000-0.7x2500 = 1500 บาท
ดังนั้นระบบ C มีความคาดหวังเป็นบวก (positive expectancy) หากเราเทรดด้วยระบบ C ไปเรื่อยๆในระยะยาว ผลที่ได้คือกำไรเช่นกัน
ยกตัวอย่างระบบ C ขึ้นมานี้ เพื่อชี้ให้เห็นสิ่งสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งที่เทรดเดอร์ส่วนใหญ่ไม่ว่าจะเป็นมือใหม่หรือมือเก่ามักจะลืมคิดไป ....นั่นคือ
สิ่งสำคัญที่สุดที่จะทำผลกำไรให้ในระยะยาว ไม่ใช่จำนวนครั้งที่เทรดถูกหรืออัตราการเทรดถูก (%win) แต่เป็น จำนวนเงินกำไรเฉลี่ยที่ทำได้ในการเทรดแต่ละครั้ง (Average Win) ต่างหาก
ลองสังเกตจากระบบ C มีอัตราการเทรดถูกต่ำมากคือ 30% เรียกว่าเข้าเทรด 10 ครั้ง ผิดซะ 7 ครั้งว่างั้นเถอะ แต่ระบบ C กลับสามารถทำกำไรได้ในระยะยาว เพราะครั้งที่เทรดถูก กินคำใหญ่ได้กำไรก้อนโต ส่วนครั้งที่เทรดผิดนั้น ผิดบ่อยก็จริงแต่ขาดทุนน้อยเป็นก้อนเล็กๆ ผลรวมที่ได้จึงออกมาเป็นกำไร
(ระบบลักษณะนี้เป็นประเภท trend –following อย่างเช่นการใช้ MACD )
ข้อสรุปในเรื่องเกี่ยวกับระบบ สิ่งสำคัญที่เป็น Take –home message สำหรับมือใหม่
คือ
1.หาระบบที่ชอบและที่ใช่ โดยการทดสอบมันก่อนว่ามี positive expectancy
2.เมื่อได้ระบบนั้นแล้วก็ต้องใช้มันอย่างยึดมั่นและอดทน เพราะการที่ระบบจะทำกำไรได้ ต้องใช้เวลาคือผ่านจำนวนครั้งในการเทรดที่มากพอ ผ่านช่วงเวลาที่เป็น false signals / String of losing trades จนกระทั่งผลลัพธ์ของ positive expectancy แสดงผลออกมา การที่คุณนำระบบมาใช้แค่ประเดี๋ยวประด๋าว เทรดสี่ห้าครั้งแล้วไม่กำไร ก็ใจร้อนเกิดความไม่พอใจ เลิกใช้เปลี่ยนไปหาระบบอื่น อย่างนี้เป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง ลองคิดดูตามดูระบบ C ก็ได้ ในเมื่ออัตราการเทรดถูกมันแค่ 30% หากคุณเลือกระบบ C คุณอาจจะต้องพบกับการขาดทุนต่อเนื่องถึง 7 ครั้ง (string of losses)จนกระทั่งครั้งที่ 8 ของการเทรดจึงจะเริ่มได้กำไรอาจก็เป็นได้ เรื่องนี้ถูกหรือไม่ลองใช้สมองตรึกตรองดู หากคุณไม่ยึดมั่นกับระบบที่เลือกมาใช้และใช้มันให้นานพอ หาก คุณใจร้อนเปลี่ยนระบบใหม่อยู่ตลอดเวลา ก็เท่ากับเริ่มนับหนึ่งใหม่ตลอด เหมือนพายเรือในอ่างน้ำวน อยู่ในวงจรอุบาทว์ ชาตินี้จะไม่มีวันประสบผลสำเร็จในการเทรดได้เลย
2.ระเบียบ(วินัย)
ในการเป็นเทรดเดอร์ การมีวินัยเป็นสิ่งสำคัญที่สุดอีกประการหนึ่งที่จะทำให้ประสบผลสำเร็จ เพราะหากเราไม่มีวินัยเสียแล้ว สิ่งอื่นๆที่เป็นผลเสียก็จะไม่ตามมา เช่น
•ไม่สามารถใช้ระบบอย่างต่อเนื่องได้เพราะขาดวินัย
•ไม่ปรับปรุงพัฒนาตัวเองเพราะขาดวินัยในเรื่องความขยันหมั่นเพียร
•ปล่อยให้ความโลภเข้าครอบงำจิตใจเพราะขาดวินัยในการควบคุมตนเอง
เหล่านี้ทำให้เห็นภาพได้ชัดเจนถึงความหายนะที่รอคอยอยู่เบื้องหน้า ในเรื่องของความมีวินัย บางคนมีอยู่แล้วจึงไม่ใช่เรื่องยาก แต่บางคนไม่มี จำเป็นต้องฝึกฝนให้เกิดขึ้น ซึ่งต้องใช้เวลาและความเพียรในการฝึกฝน
โดย ส่วนตัวแล้วมีความเห็นว่า การเทรดตามระบบ (systematic trading) โดยการทำตัวเหมือนหุ่นยนต์ ทำตามคำสั่งของระบบ โดยไม่มีข้อแม้ เป็นวิธีหนึ่งที่จะฝึกฝนให้เกิดวินัยในตนเองได้เป็นอย่างดี แต่ต้องใช้เวลาและความเพียรในการฝึกฝน (จะเห็นว่า ผู้เขียนเน้นเรื่อง”ความเพียร”บ่อยมาก เพราะเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งยวดที่จะต้องมีหากอยากประสบผลสำเร็จ)
3.Money management
เป็นเรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่งที่คนทั่วไปมักไม่ค่อยกล่าวถึงกันนัก หากเรามีระบบดีและมีวินัยแล้วจะประสบผลสำเร็จในระดับหนึ่ง แต่หากมี Money management ที่ดีด้วย จะได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นอีกหลายเท่า
เรื่อง ของ Money management เป็นเรื่องยาว เขียนเป็นตำราได้เล่มโตๆ ซึ่งรายละเอียดปลีกย่อย คงต้องไปศึกษาหาอ่านกันเอาเอง ขอสรุปไว้แค่สองข้อใหญ่ดังนี้
•ควรเริ่มต้นเทรดด้วยต้นทุนที่เพียงพอ (Sufficient capital)
ก็เพราะว่าหากเราเทรดตามระบบแต่เริ่มต้นด้วยทุนน้อยเกินไป สายป่านยาวไม่พออาจะขาดเสียก่อนที่ระบบจะแสดงผลลัพธ์ที่เป็นบวกให้เห็น โดยส่วนตัวคิดว่าการเทรดฟิวเจอร์ 1 สัญญาควรมีเงินต้นทุนรองรังอย่างน้อยที่สุด 150,000 บาท จึงจะอยู่รอดในระยะยาว นี่ พูดถึงในกรณีมีระบบที่มี expectancy เป็นบวกค่อนข้างสูงด้วยนะ หากว่า expectancy ต่ำ ก็อาจจะต้องมีเงินมากกว่านี้ไว้เป็นภูมิคุ้มกันจึงจะปลอดภัย การเข้าเทรดฟิวเจอร์ด้วยจำนวนเงินน้อยนิด เช่นมีเงินอยู่ 60,000 ก็เข้าไปเทรดนั้น ไม่ต่างจากการเล่นการพนันเลยแม้แต่น้อย เทรดผิดครั้งหนึ่งหรือสองครั้งเท่านั้นก็หมดโอกาสแล้วเพราะเหลือเงินไม่พอวางประกัน ดังนั้นถ้าไม่อยากเสียเงินฟรีก็อย่าทำ อย่าหวังรวยเร็วจากเงินน้อยๆเพราะไม่มีใครทำได้ หากจะมีก็เป็นเรื่องของความบังเอิญ
•การเพิ่มจำนวนสัญญาในการเทรด
ควร เป็นไปตามหลักการ ตามแต่จะเลือกมาใช้ ส่วนใหญ่ที่รู้จักกันดีก็มีอยู่สองวิธีหลักๆ ได้แก่ Fixed-Fractional method กับ Fixed-ratio method ลองไปหาอ่านกันดู เป็นเรื่องไม่ยาก
4.การควบคุมอารมณ์
คำพระท่านว่า “ชนะใจตน ชนะคนทั้งโลก”
การควบคุมอารมณ์และจิตใจของตนเป็นเรื่องสำคัญที่สุดของที่สุดของการประสบผลสำเร็จในการเป็นเทรดเดอร์ เพราะหากคุณควบคุมอารมณ์และจิตใจของตนเองไม่ได้ คุณก็ไม่สามารถมีวินัย ไม่สามารถปฏิบัติตามระบบ ไม่สามารถใช้ money management ได้ เพราะอารมณ์ที่ครอบงำจิตใจของคุณจะทำให้คุณหลงทางอยู่ในความเกียจคร้าน ความโลภและความกลัว ไม่สามารถลดละเลิกอัตตาตัวกูของกู ไม่สามารถยอมรับความผิดพลาดในการเทรดได้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่นำมาซึ่งหายนะในการเป็นเทรดเดอร์ มือใหม่ที่เข้าสู่ตลาด ไม่มีใครหรอกที่ใจนิ่งได้ตั้งแต่แรก ทุกคนย่อมต้องผ่านเวลาและประสบการณ์ทั้งนั้น โดยประสบการณ์ส่วนตัวคิดว่าใช้เวลาประมาณ 3 ปีเศษขึ้นไป กว่าที่ใจจะเริ่มนิ่งและเริ่มคุ้นเคยกับวงจรหรือพฤติกรรมบางอย่างของตลาด โดยเฉพาะการสร้างภูมิคุ้มกันต่อคำพูดเหล่านี้คือ
“เค้าเล่าว่า.... เซียนบอกว่า.... นักวิเคราะห์เขาว่า....” และก็เช่นเคย ทางลัดของการฝึกควบคุมอารณ์นั้นก็คือการใช้ระบบเข้ามาจับตั้งแต่แรก การ มีระบบรองรับนั้นเหมือนการมีทุ่นหรือหลักให้พักพิง ทำให้ไม่หวั่นไหวเคว้งคว้างไปตาม volatility ของตลาดซึ่งไม่ต่างจากคลื่นที่คอยกระแทกกระทั้นให้เรือน้อยต้องอัปปางลง
No comments:
Post a Comment