"Self-conquest is the greats of victory" การชนะใจตนเอง คือ ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

10/10/2009

Dow Theory ทฤษฎีที่ว่าด้วยแนวโน้มของตลาด

" Dow Theory "

Dow Theory เป็นทฤษฎีที่ว่าด้วยแนวโน้มของตลาด โดยทฤษฎีกล่าวไว้ว่า ตลาดที่กำลังอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น ถ้าจุดยอดและจุดก้นบึ้งที่เกิดขึ้นอยู่สูงกว่าจุดยอดและจุดก้นบึ้งที่เกิด ขึ้นก่อนหน้า ในทางตรงกันข้าม หากจุดยอดและจุดก้นบึ้งที่เกิดขึ้นอยู่ต่ำกว่าจุดยอดและจุดก้นบึ้งที่อยู่ ก่อนหน้า แสดงว่าตลาดกำลังอยู่ในแนวโน้มขาลง นอกจากนี้แล้ว ยังมีสาระสำคัญที่ปรากฏในทฤษฎีนี้อีกหลายประการ

ประการที่หนึ่ง
ตลาดจะดูดซับเหตุการณ์ทุกอย่างด้วยความรวดเร็ว และสะท้อนออกมาที่ราคาของตลาดโดยรวม

ประการที่สอง
แนวโน้มของตลาด สามารถแบ่งออกเป็น 3 ลำดับชั้น แยกตามระยะเวลา คือ
1 Primary trend จะกินระยะเวลามากกว่า 1 ปีขึ้นไป
2 Secondary trend จะกินระยะเวลา 3 สัปดาห์ถึง 3 เดือน โดย Secondary trend นี้ถือได้ว่าเป็นช่วงระยะเวลาในการปรับตัว (corrections) ในช่วงของ Primary trend

3 Minor trend จะกินระยะเวลาน้อยกว่า 3 สัปดาห์ จึงถือได้ว่าเป็นเพียงแค่การแกว่งตัวของราคาในระยะสั้นเท่านั้น

ประการที่สาม
แนวโน้มของตลาดยังสามารถแบ่งออกเป็น 3 ระยะ แยกตามการซื้อขาย ได้แก่
ช่วงระยะแรก เป็นช่วงที่นักลงทุนที่เล็งเห็นการณ์ไกลเข้ามาช้อนซื้อหุ้น เพราะเห็นว่าข่าวคราวเชิงลบได้ถูกดูดซับไปหมดแล้วในตลาด ซึ่งช่วงระยะนี้เรียกว่า ช่วงเก็บของ (accumulation phase)
ช่วงระยะที่สอง เป็นช่วงที่ผู้ลงทุนที่เน้นการลงทุนตามแนวโน้มตลาดเข้ามามีส่วนร่วมในตลาด มากขึ้น โดยมีแรงหนุนจากข้อมูลข่าวสารทางธุรกิจเชิงบวกที่ปรากฏชัดมากขึ้น ส่งผลให้ราคาโดยรวมมีการปรับตัวสูงขึ้น
ช่วงระยะที่สาม เป็นช่วงที่มีผู้เล่นอยู่ในตลาดมากยิ่งขึ้น ข่าวสารเชิงบวกจะหลั่งไหลกันออกมามากมาย มีการเก็งกำไรมากขึ้น ซึ่งในระหว่างช่วงระยะสุดท้ายนี้เองที่นักลงทุนที่เข้าเก็บของตั้งแต่ในช่วง ระยะแรก จะเริ่มทยอยขายทำกำไรออกไป ซึ่งช่วงระยะนี้เรียกว่า ช่วงระบายของ (distribution phase)

นอกจากนี้ Dow Theory ยังบอกอีกว่า ปริมาณการซื้อขายจะต้องยืนยันแนวโน้มที่เกิดขึ้นอีกด้วย ตัวอย่างเช่น หากแนวโน้มของราคาเป็นขาขึ้น ปริมาณการซื้อขายควรจะเพิ่มขึ้นตาม และปริมาณการซื้อขายควรจะน้อยลง หากราคามีการปรับตัวลง ในทางกลับกัน หากแนวโน้มของราคาเป็นขาลง ปริมาณการซื้อขายควรจะเพิ่มขึ้น และปริมาณการซื้อขายควรจะน้อยลงในขณะที่ราคามีการดีดตัวขึ้น

No comments:

Post a Comment