" Dow Theory "
Dow Theory เป็นทฤษฎีที่ว่าด้วยแนวโน้มของตลาด โดยทฤษฎีกล่าวไว้ว่า ตลาดที่กำลังอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น ถ้าจุดยอดและจุดก้นบึ้งที่เกิดขึ้นอยู่สูงกว่าจุดยอดและจุดก้นบึ้งที่เกิด ขึ้นก่อนหน้า ในทางตรงกันข้าม หากจุดยอดและจุดก้นบึ้งที่เกิดขึ้นอยู่ต่ำกว่าจุดยอดและจุดก้นบึ้งที่อยู่ ก่อนหน้า แสดงว่าตลาดกำลังอยู่ในแนวโน้มขาลง นอกจากนี้แล้ว ยังมีสาระสำคัญที่ปรากฏในทฤษฎีนี้อีกหลายประการ
ประการที่หนึ่ง
ตลาดจะดูดซับเหตุการณ์ทุกอย่างด้วยความรวดเร็ว และสะท้อนออกมาที่ราคาของตลาดโดยรวม
ประการที่สอง
แนวโน้มของตลาด สามารถแบ่งออกเป็น 3 ลำดับชั้น แยกตามระยะเวลา คือ
1 Primary trend จะกินระยะเวลามากกว่า 1 ปีขึ้นไป
2 Secondary trend จะกินระยะเวลา 3 สัปดาห์ถึง 3 เดือน โดย Secondary trend นี้ถือได้ว่าเป็นช่วงระยะเวลาในการปรับตัว (corrections) ในช่วงของ Primary trend
3 Minor trend จะกินระยะเวลาน้อยกว่า 3 สัปดาห์ จึงถือได้ว่าเป็นเพียงแค่การแกว่งตัวของราคาในระยะสั้นเท่านั้น
ประการที่สาม
แนวโน้มของตลาดยังสามารถแบ่งออกเป็น 3 ระยะ แยกตามการซื้อขาย ได้แก่
ช่วงระยะแรก เป็นช่วงที่นักลงทุนที่เล็งเห็นการณ์ไกลเข้ามาช้อนซื้อหุ้น เพราะเห็นว่าข่าวคราวเชิงลบได้ถูกดูดซับไปหมดแล้วในตลาด ซึ่งช่วงระยะนี้เรียกว่า ช่วงเก็บของ (accumulation phase)
ช่วงระยะที่สอง เป็นช่วงที่ผู้ลงทุนที่เน้นการลงทุนตามแนวโน้มตลาดเข้ามามีส่วนร่วมในตลาด มากขึ้น โดยมีแรงหนุนจากข้อมูลข่าวสารทางธุรกิจเชิงบวกที่ปรากฏชัดมากขึ้น ส่งผลให้ราคาโดยรวมมีการปรับตัวสูงขึ้น
ช่วงระยะที่สาม เป็นช่วงที่มีผู้เล่นอยู่ในตลาดมากยิ่งขึ้น ข่าวสารเชิงบวกจะหลั่งไหลกันออกมามากมาย มีการเก็งกำไรมากขึ้น ซึ่งในระหว่างช่วงระยะสุดท้ายนี้เองที่นักลงทุนที่เข้าเก็บของตั้งแต่ในช่วง ระยะแรก จะเริ่มทยอยขายทำกำไรออกไป ซึ่งช่วงระยะนี้เรียกว่า ช่วงระบายของ (distribution phase)
นอกจากนี้ Dow Theory ยังบอกอีกว่า ปริมาณการซื้อขายจะต้องยืนยันแนวโน้มที่เกิดขึ้นอีกด้วย ตัวอย่างเช่น หากแนวโน้มของราคาเป็นขาขึ้น ปริมาณการซื้อขายควรจะเพิ่มขึ้นตาม และปริมาณการซื้อขายควรจะน้อยลง หากราคามีการปรับตัวลง ในทางกลับกัน หากแนวโน้มของราคาเป็นขาลง ปริมาณการซื้อขายควรจะเพิ่มขึ้น และปริมาณการซื้อขายควรจะน้อยลงในขณะที่ราคามีการดีดตัวขึ้น
"Self-conquest is the greats of victory" การชนะใจตนเอง คือ ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
10/10/2009
10/09/2009
4H MACD PRICE MOVEMENT RULES
4H MACD PRICE MOVEMENT RULES
1. ในการดูราคาในจุดที่จะ trade ควรดูสิ่งนี้ควบคู่กันด้วย (ทุกครั้ง )
1.1 Moving Average, Trend line, แนวรับ แนวต้าน และตัวเลขจิตวิทยา (พวกเลข 00, 200.00, 1.50, 100.00)
1.2 แล้วมาดู MACD signal เพื่อเป็นการ confirm ในการเทรด
2. ทำการบ้านเยอะๆ เกี่ยวกับ price movement หรือ Market rhythm เช่น print graph 4hr ย้อนหลัง 1 ปีมานั่งปิดแล้วดูแล้ววิเคราะห์แท่งเทียนถัดไป
3. ห้ามเทรด MACD ทุก Signal
4. อย่ากระโดดเล่นหลายคู่
4.1 ควรเล่นไม่เกิน 3 pair (ทุกวันนี้ผมยังคงเล่นแค่ 2 pair) และเล่น pair ที่ชอบและคุ้นเคยกับเรา ถ้าเราเล่นหลาย pair เราจะเสียโอกาสในการเปิด position เดิมที่ควรจะได้ คือถ้าเล่นเยอะ % ที่จะถูกมันก็น้อยลง การเล่นมันย่อมมีผิดพลาด ถ้าเราผิดตัวนี้แล้วเราไปเล่นตัวอื่น เราก็จะพลาดตัวอื่นต่อ ในขณะที่รอบหน้าของตัวแรกที่พลาดอาจจะถูก แต่เราไม่ได้เทรดมัน เทรด 10 ครั้งควรจะถูก 6-7 ครั้งแต่ถ้าเราโดดไปตัวอื่น ทีนี้เราก็จะไม่ได้ 10:6 หรือ 10:7 แล้ว
5. ดูที่อารมณ์ตลาด(Market emotion) – รูปแบบที่แน่นอนของแท่งเทียน
6. ดูจังหวะตลาด(Market Rhythm) และ trend line
7. R:R (Risk reward ratio) ควรเป็น 1:1 ขึ้นไป เช่น Reward 50 Stoploss ไม่เกิน 50
8. เมื่อราคาผ่านเส้น 20SMA มันจะกลับมาหาเส้น 55EMA
9. เมื่อราคาวิ่งทะลุผ่านเส้น 200SMA มันจะวิ่งกลับหาตัวมันเอง (200SMA) ก่อนที่จะวิ่งต่อไป
วิธีนี้ถือเป็นวิธีที่ง่ายๆ ไม่ยุ่งยากซับซ้อนครับ ถ้าจะใช้ต้องเรียนรู้ 3 เรื่องหลักๆ ครับ
1. Market Rhythm
2. Market Emotion
3. เครื่องมือต่างๆ MACD, MA, Trend Line
ส่วนเรื่องอื่นๆ หลักๆก็จะเป็นเรื่อง Self Management น่ะครับ คือการควบคุมอารมณ์ตัวเองทุกครั้งที่เทรด และตัดสินใจต้องมีการวางแผนครับ หรือเรียกว่า Risk Management ก็ได้ เช่นการเข้าเทรด การ Stoploss เป็นต้น
1. Market Rhythm หรือจังหวะตลาด เป็น pattern ที่จะเข้าไปเทรดครับ รูปแบบของกราฟจะต้องดูง่าย เช่นราคาจะต้องวิ่งหาเส้น SMA20 หรือ EMA55 แล้วก็วิ่งกลับไปคล้ายๆระรอกคลื่นน่ะครับ ถ้าเรามีการวาด Trend Line จะสามารถเห็นภาพได้ง่ายขึ้น สิ่งเหล่านี้จะเป็นตัวใช้ตัดสินใจในการคิดว่าจะเทรดหรือไม่ครับ (ยังไม่เทรดนะครับแค่สนในใจจะเทรดเฉยๆ)
2. Market Emotion คือลักษณะอารมณ์มหาชนช่วงนั้นว่าเค้าคิดอะไรกัน? ฟังดูเหมือนยากนะครับแต่จริงๆก็คือการดูแท่งเทียนน่ะครับ ซึ่งรูปแบบแท่งเทียนจะมีอยู่ประมาณ 10 กว่ารูปแบบที่ต้องศึกษาครับ จะบอกได้ว่ามหาชนคิดอะไร?ทำอะไร? ซึ่งเราจะสามารถตามน้ำไปกับพวกเขาได้ครับ ถ้ารูปแบบแท่งเทียนออกมาดี เช่นก้านของแท่งไปแตะที่เส้น EMA21 แล้ววิ่งกลับขึ้นไปเกิน 50% ของแท่ง ก็หมายความว่าราคามีความเป็นไปได้ว่าจะวิ่งกลับขึ้นไปตามจังหวะ Market Rhythm ครับ มาถึงจุดนี้เราสามารถมั่นใจว่าเรามาถูกทางแล้ว แต่... ยังไม่ใช่การ confirm ว่าจะเทรดนะครับ ทีนี้สิ่งที่เราควรทำลำดับต่อไปคือข้อต่อไปครับ
3. MACD ครับ MACD เราจะใช้ Period 4 hr. ครับ ซึ่งมีการพิสูจน์แล้วว่ามีการเกิด error ค่อนข้างจะน้อยที่สุดและน่าเทรดที่สุดครับ (ถ้าไม่นับ period daily ขึ้นไปนะครับ จริงที่ว่า daily จะเกิด error น้อยกว่า แต่เราก็กำหนดจุด Stop loss จนอ้วกน่ะครับ บางทีมากกว่า 100pips อีกครับ) ทีนี้มาเข้าเรื่องต่อคือ MACD4hr นะครับ หลังจากที่เราดูตลาด(จากข้อ 1 และ2 เรียบน้อยแล้ว) ทีนี้เราจะมาดู MACD ครับเพื่อใช้ Confirm การ Trade ถ้าเกิดสัญญานต่อไปนี้ก็สามารถที่จะทำการเปิด position ได้ครับคือ
1. Trend Continue
2. Round top
3. Round Bottom
4. Zero Breaking
5. Double Top
6. Double Bottom
7. Higher Low
8. Lower High
สัญญานตัวนี้เป็นสัญญานสากลที่หลายๆคนรู้จัก และนำไปดูที่กราฟครับ (แต่เราดูที่ MACD ครับ) ถ้าเกิดสัญญานนี้ก็สามารถเปิดการเทรดได้เลยครับ แต่...ต้องพิจารณาข้อที่ 1 และ 2 ก่อนนะครับอันนี้สำคัญมากๆ ครับ เราจะไม่ใช้เครื่องมือเทรด แต่เราจะใช้เครื่องมือในการ confirm การตัดสินใจเท่านั้นครับ เพราะถ้าใช้เครื่องมืออย่างเดียว สังเกตได้ว่าวันนึงจะมีให้เป็นเป็นร้อยครั้งครับ แต่ความไม่แน่นอนมันมากเกินไปครับ เราดู Market Rhythm กับ Emotion ก่อนดีกว่าครับ
สาเหตุที่ใช้ MACD เพราะว่า MACD เป็นเครื่องมือที่ถือว่าให้สัญญานได้ช้าที่สุด แต่แม่นยำที่สุดครับ เพราะฉะนั้นผมจึงใช้ indy แค่ตัวนี้ตัวเดียวเท่านั้นครับ ใช้หลายเครื่องมือมันดูดีดูเป็น pro จริงครับ แต่มันเข้าใจยากและก็ไม่ค่อยมีผลงานดีซักเท่าไหร่ครับ ผมว่าความเป็น Simple เป็นอะไรที่ดีที่สุดแล้วครับ วิธีนี้ค่อนข้างจะหวานเย็นนะครับ แต่ confirm ได้ว่าคุณได้กำไรแน่นอนครับ แต่ไม่ใช่ว่าจะได้ทุกเทรดนะครับ เพียงแต่เราสามารถที่จะหา high probability ที่ดีที่สุดได้ครับ เช่นเทรด 10 ครั้งคุณจะพลาดประมาณ 3 ครั้งครับ หรืออย่างมากก็ 4 ครับ... แต่แนะนำนะครับเล่นแค่ pair เดียวหรือ 2 pair ที่ชอบก็พอนะครับ ด้วยเหตุผลที่ว่าเราจะได้เข้าได้ทุกจังหวะครับ และก็ถ้าเสียเราจะไม่เสียเป็นดับเบิ้ลครับ
1. ในการดูราคาในจุดที่จะ trade ควรดูสิ่งนี้ควบคู่กันด้วย (ทุกครั้ง )
1.1 Moving Average, Trend line, แนวรับ แนวต้าน และตัวเลขจิตวิทยา (พวกเลข 00, 200.00, 1.50, 100.00)
1.2 แล้วมาดู MACD signal เพื่อเป็นการ confirm ในการเทรด
2. ทำการบ้านเยอะๆ เกี่ยวกับ price movement หรือ Market rhythm เช่น print graph 4hr ย้อนหลัง 1 ปีมานั่งปิดแล้วดูแล้ววิเคราะห์แท่งเทียนถัดไป
3. ห้ามเทรด MACD ทุก Signal
4. อย่ากระโดดเล่นหลายคู่
4.1 ควรเล่นไม่เกิน 3 pair (ทุกวันนี้ผมยังคงเล่นแค่ 2 pair) และเล่น pair ที่ชอบและคุ้นเคยกับเรา ถ้าเราเล่นหลาย pair เราจะเสียโอกาสในการเปิด position เดิมที่ควรจะได้ คือถ้าเล่นเยอะ % ที่จะถูกมันก็น้อยลง การเล่นมันย่อมมีผิดพลาด ถ้าเราผิดตัวนี้แล้วเราไปเล่นตัวอื่น เราก็จะพลาดตัวอื่นต่อ ในขณะที่รอบหน้าของตัวแรกที่พลาดอาจจะถูก แต่เราไม่ได้เทรดมัน เทรด 10 ครั้งควรจะถูก 6-7 ครั้งแต่ถ้าเราโดดไปตัวอื่น ทีนี้เราก็จะไม่ได้ 10:6 หรือ 10:7 แล้ว
5. ดูที่อารมณ์ตลาด(Market emotion) – รูปแบบที่แน่นอนของแท่งเทียน
6. ดูจังหวะตลาด(Market Rhythm) และ trend line
7. R:R (Risk reward ratio) ควรเป็น 1:1 ขึ้นไป เช่น Reward 50 Stoploss ไม่เกิน 50
8. เมื่อราคาผ่านเส้น 20SMA มันจะกลับมาหาเส้น 55EMA
9. เมื่อราคาวิ่งทะลุผ่านเส้น 200SMA มันจะวิ่งกลับหาตัวมันเอง (200SMA) ก่อนที่จะวิ่งต่อไป
วิธีนี้ถือเป็นวิธีที่ง่ายๆ ไม่ยุ่งยากซับซ้อนครับ ถ้าจะใช้ต้องเรียนรู้ 3 เรื่องหลักๆ ครับ
1. Market Rhythm
2. Market Emotion
3. เครื่องมือต่างๆ MACD, MA, Trend Line
ส่วนเรื่องอื่นๆ หลักๆก็จะเป็นเรื่อง Self Management น่ะครับ คือการควบคุมอารมณ์ตัวเองทุกครั้งที่เทรด และตัดสินใจต้องมีการวางแผนครับ หรือเรียกว่า Risk Management ก็ได้ เช่นการเข้าเทรด การ Stoploss เป็นต้น
1. Market Rhythm หรือจังหวะตลาด เป็น pattern ที่จะเข้าไปเทรดครับ รูปแบบของกราฟจะต้องดูง่าย เช่นราคาจะต้องวิ่งหาเส้น SMA20 หรือ EMA55 แล้วก็วิ่งกลับไปคล้ายๆระรอกคลื่นน่ะครับ ถ้าเรามีการวาด Trend Line จะสามารถเห็นภาพได้ง่ายขึ้น สิ่งเหล่านี้จะเป็นตัวใช้ตัดสินใจในการคิดว่าจะเทรดหรือไม่ครับ (ยังไม่เทรดนะครับแค่สนในใจจะเทรดเฉยๆ)
2. Market Emotion คือลักษณะอารมณ์มหาชนช่วงนั้นว่าเค้าคิดอะไรกัน? ฟังดูเหมือนยากนะครับแต่จริงๆก็คือการดูแท่งเทียนน่ะครับ ซึ่งรูปแบบแท่งเทียนจะมีอยู่ประมาณ 10 กว่ารูปแบบที่ต้องศึกษาครับ จะบอกได้ว่ามหาชนคิดอะไร?ทำอะไร? ซึ่งเราจะสามารถตามน้ำไปกับพวกเขาได้ครับ ถ้ารูปแบบแท่งเทียนออกมาดี เช่นก้านของแท่งไปแตะที่เส้น EMA21 แล้ววิ่งกลับขึ้นไปเกิน 50% ของแท่ง ก็หมายความว่าราคามีความเป็นไปได้ว่าจะวิ่งกลับขึ้นไปตามจังหวะ Market Rhythm ครับ มาถึงจุดนี้เราสามารถมั่นใจว่าเรามาถูกทางแล้ว แต่... ยังไม่ใช่การ confirm ว่าจะเทรดนะครับ ทีนี้สิ่งที่เราควรทำลำดับต่อไปคือข้อต่อไปครับ
3. MACD ครับ MACD เราจะใช้ Period 4 hr. ครับ ซึ่งมีการพิสูจน์แล้วว่ามีการเกิด error ค่อนข้างจะน้อยที่สุดและน่าเทรดที่สุดครับ (ถ้าไม่นับ period daily ขึ้นไปนะครับ จริงที่ว่า daily จะเกิด error น้อยกว่า แต่เราก็กำหนดจุด Stop loss จนอ้วกน่ะครับ บางทีมากกว่า 100pips อีกครับ) ทีนี้มาเข้าเรื่องต่อคือ MACD4hr นะครับ หลังจากที่เราดูตลาด(จากข้อ 1 และ2 เรียบน้อยแล้ว) ทีนี้เราจะมาดู MACD ครับเพื่อใช้ Confirm การ Trade ถ้าเกิดสัญญานต่อไปนี้ก็สามารถที่จะทำการเปิด position ได้ครับคือ
1. Trend Continue
2. Round top
3. Round Bottom
4. Zero Breaking
5. Double Top
6. Double Bottom
7. Higher Low
8. Lower High
สัญญานตัวนี้เป็นสัญญานสากลที่หลายๆคนรู้จัก และนำไปดูที่กราฟครับ (แต่เราดูที่ MACD ครับ) ถ้าเกิดสัญญานนี้ก็สามารถเปิดการเทรดได้เลยครับ แต่...ต้องพิจารณาข้อที่ 1 และ 2 ก่อนนะครับอันนี้สำคัญมากๆ ครับ เราจะไม่ใช้เครื่องมือเทรด แต่เราจะใช้เครื่องมือในการ confirm การตัดสินใจเท่านั้นครับ เพราะถ้าใช้เครื่องมืออย่างเดียว สังเกตได้ว่าวันนึงจะมีให้เป็นเป็นร้อยครั้งครับ แต่ความไม่แน่นอนมันมากเกินไปครับ เราดู Market Rhythm กับ Emotion ก่อนดีกว่าครับ
สาเหตุที่ใช้ MACD เพราะว่า MACD เป็นเครื่องมือที่ถือว่าให้สัญญานได้ช้าที่สุด แต่แม่นยำที่สุดครับ เพราะฉะนั้นผมจึงใช้ indy แค่ตัวนี้ตัวเดียวเท่านั้นครับ ใช้หลายเครื่องมือมันดูดีดูเป็น pro จริงครับ แต่มันเข้าใจยากและก็ไม่ค่อยมีผลงานดีซักเท่าไหร่ครับ ผมว่าความเป็น Simple เป็นอะไรที่ดีที่สุดแล้วครับ วิธีนี้ค่อนข้างจะหวานเย็นนะครับ แต่ confirm ได้ว่าคุณได้กำไรแน่นอนครับ แต่ไม่ใช่ว่าจะได้ทุกเทรดนะครับ เพียงแต่เราสามารถที่จะหา high probability ที่ดีที่สุดได้ครับ เช่นเทรด 10 ครั้งคุณจะพลาดประมาณ 3 ครั้งครับ หรืออย่างมากก็ 4 ครับ... แต่แนะนำนะครับเล่นแค่ pair เดียวหรือ 2 pair ที่ชอบก็พอนะครับ ด้วยเหตุผลที่ว่าเราจะได้เข้าได้ทุกจังหวะครับ และก็ถ้าเสียเราจะไม่เสียเป็นดับเบิ้ลครับ
10/08/2009
4 Hour MACD Strategy
4 Hour MACD Strategy
MACDเป็นเครื่องมือที่มีความแม่นยำมากกว่าเครื่องมือตัวอื่นๆจุดตัดกันของสัญญาณจึงสามารถบอกถึงการกลับทิศทางของราคาได้บางครั้งสามารถเตือนล่วงหน้าได้หลายชั่วโมงหรืออาจจะเป็นวันได้ก่อนที่ราคาจะกลับตัวจริง
รูปAและDเป็นสัญญาณการกลับทิศทางของราคาวงกลมสีแดงเป็นจุดเข้าซื้อขาย
รูปBและCเป็นสัญญาณขึ้นต่อเนื่องหรือลงต่อเนื่องคือทิศทางยังคงต่อเนื่องไม่เปลี่ยนแปลง
และวงกลมสีแดงเป็นจุดเข้าซื้อขาย
MACDเป็นเครื่องมือที่มีความแม่นยำมากกว่าเครื่องมือตัวอื่นๆจุดตัดกันของสัญญาณจึงสามารถบอกถึงการกลับทิศทางของราคาได้บางครั้งสามารถเตือนล่วงหน้าได้หลายชั่วโมงหรืออาจจะเป็นวันได้ก่อนที่ราคาจะกลับตัวจริง
รูปAและDเป็นสัญญาณการกลับทิศทางของราคาวงกลมสีแดงเป็นจุดเข้าซื้อขาย
รูปBและCเป็นสัญญาณขึ้นต่อเนื่องหรือลงต่อเนื่องคือทิศทางยังคงต่อเนื่องไม่เปลี่ยนแปลง
และวงกลมสีแดงเป็นจุดเข้าซื้อขาย
10/07/2009
Leverage คืออะไร?
Leverage คือแรงงัด หมายความว่าเราสามารถซื้อหุ้นมูลค่า 100,000 ได้ด้วยเงินเพียง100
Leverage 1:100 แปลว่า เราใช้ทุนของเราเองเพียง 1 เพื่อสั่งซื้อ-ขาย 100
Leverage ที่มากขึ้น ทำให้ใช้ margin น้อยลงแต่ก็จะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ่นเช่นกัน
หากใช้ Leverage 1:100 จะใช้ margin = $1,000
หากใช Leverage 1:200 จะใช้ margin = $500
หากใช Leverage 1:500 จะใช้ margin = $200
ข้อดีของ Leverage คือ การได้ใช้ margin ลดลง อาจจะทำให้ถือลบ ได้นานขึ้น
Leverage 1:100 แปลว่า เราใช้ทุนของเราเองเพียง 1 เพื่อสั่งซื้อ-ขาย 100
Leverage ที่มากขึ้น ทำให้ใช้ margin น้อยลงแต่ก็จะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ่นเช่นกัน
หากใช้ Leverage 1:100 จะใช้ margin = $1,000
หากใช Leverage 1:200 จะใช้ margin = $500
หากใช Leverage 1:500 จะใช้ margin = $200
ข้อดีของ Leverage คือ การได้ใช้ margin ลดลง อาจจะทำให้ถือลบ ได้นานขึ้น
Subscribe to:
Posts (Atom)