7/15/2009
เติมพลังให้ชีวิต2
รอน โปแลค นักบำบัดเชิงพลังงาน วัย 72 ปี
จงเบิกบานและสุขสำราญมากเท่าที่คุณทำได้โดยไม่ไปทำร้ายผู้อื่น
ลี ปูลอส นักจิตวิทยา วัย 78 ปี
เป็นตัวของตัวเองโดยพร้อมมูล และจงฟังราวกับว่าคุณรักคนๆ นั้น
จงวาดวิสัยทัศน์เกี่ยวกับอนาคตของคุณ ให้ภาพนั้นสอดคล้องกับ
ตัวตนของคุณ ทั้งยังเป็นภาพที่สามารถสร้างความต่างแก่โลกใบนี้
และจงให้ค่าแก่ทุกห้วงขณะที่คุณมีชีวิตอยู่
โจแอล บาร์เกอร์ นักประพันธ์และนักอนาคตวิทยา วัย 62 ปี
สนใจใคร่รู้และเคารพผู้อื่นให้มากเท่าที่คุณทำได้
พยายามหาวิธีแปลกๆ ใหม่ๆ ที่จะสร้างความตื่นเต้นแก่ความสัมพันธ์
จงสร้างสรรค์เข้าไว้
ซูซาน แซมมวลส์-เดรค วัย 68 ปี
หาเส้นทางของคุณให้พบและอย่าหันเหไปไหน
วิลเลี่ยม บริดเจส นักประพันธ์ วัย 73 ปี
ชำระเงินตามใบแจ้งหนี้! อย่าให้เงินเป็นเป้าหมายของชีวิตคุณ
จงบริหารเงินของคุณ เลือกงานที่คุณทำแล้วมีความสุข
เพราะคุณจะต้องใช้เวลามากมายในการทำงานนั้น
เมย์ วัย 72 ปี
อย่าอยู่เฉย อย่าเบื่อ หาอะไรมาทำอีกห้าอย่างเสมอ
ลูซี นางพยาบาล วัย 101 ปี
หาความสุขจากทุกวัน ผูกมิตร อย่าต่อล้อต่อเถียง
อลิซ เรด วัย 97 ปี
เรียนรู้ให้สุดกำลัง ฟังผู้ให้คำแนะนำที่เก่งที่สุดเท่าที่จะทำได้
และสวดขอให้พระเจ้านำทางคุณ
คุณพ่อจอห์น เอ็ดเวิร์ด บราวน์ บาทหลวงนิกายคาทอลิก วัย 89 ปี
ครั้งที่ผมยังอยู่ในโรงเรียน
ผมพูดกับครูสอนวิชาช่างไม้ว่างานที่ผมทำอยู่นั้น “ดีพอ” แล้ว
ท่านพูดกับผมเพียงว่า มีแต่สิ่งสมบูรณ์แบบเท่านั้นที่จะดีพอ
และสิ่งที่ดีพอนั้นยังไม่ถือว่าสมบูรณ์แบบ
แฟรงค์ วัย 82 ปี
จริงใจกับตนเอง ทำสิ่งที่เหมาะกับคุณ
เป็นคนในแบบที่คุณเป็น ทำสิ่งที่เร้าหัวใจตนเองให้ตื่นตัว
คาโรลีน แมนน์ วัย 67 ปี
กระโดดลงไปทั้งตัว พร้อมทำงานหนักและพร้อมยุ่งเหยิง
กล้าใช้ชีวิต กล้ารัก กล้าเชื่อมโยงกับโลกภายนอก
แอนน์ บริทท์ วัย 67 ปี
รักสิ่งที่คุณทำและทำสิ่งที่คุณรัก
ดาร์ลีน เบอร์ชัม วัย 62 ปี
ดำเนินชีวิตตามกฎทอง
นั่นคือ ปฏิบัติต่อผู้อื่นแบบเดียวกับที่คุณอยากได้รับการปฏิบัติ
เวยน์ ฮัฟแมน วัย 68 ปี
จงเชื่อในตนเอง เราทุกคนล้วนมีพรสวรรค์ที่น่าประหลาดใจ
แจ๊คเกอลีน กูลด์ วัย 60 ปี
พยายามเรียนรู้จากอดีต
เก็บเกี่ยวความสุขจากปัจจุบัน และกรุยทางเพื่ออนาคตที่ดีกว่า
มารี รูธ ชไนเดอร์ วัย 79 ปี
รักตนเอง แล้วสิ่งอื่นจะตามมาเอง
เจนนี รันนอลลส์ วัย 57 ปี
อย่าให้ความกลัวครอบงำชีวิต
เฟลิซา เช็ง วัย 65 ปี
ทำงานหนักที่สุดเท่าที่ทำได้
ทุ่มสุดตัวให้แก่สิ่งที่คุณกำลังทำ พยายามทำให้ดีที่สุด
ตั้งเป้าไว้ให้สูง ถ้าคุณตั้งเป้าต่ำเกินไป คุณจะยิงต่ำกว่าเป้า
มูเรียล ดักลาส วัย 72 ปี
ถ้าทำได้ก็พยายามทำดีกับทุกคนที่คุณพบ
แต่ตลอดเวลานั้นจงอย่าทำร้ายใครเลย
บันซี คานธี วัย 63 ปี
นับถือตนเองและผู้อื่นให้มาก
อย่าทำร้ายผู้อื่นและจงยอมรับผู้อื่นตามที่พวกเขาเป็น
จูเลียนา คราทซ์ วัย 76 ปี
จงรักษาภาพจินตนาการไว้และจดจ่อความสนใจให้ตลอด
ไว้ใจตนเองและมุ่งไปยังเป้าหมายเสมอ
แล้วคุณจะไปถึงเป้าหมาย คุณอาจไม่รู้ว่าไปถึงได้อย่างไร
แต่คุณจะไปถึงแน่นอน
ไดแอน ลินช์ วัย 63 ปี
อย่าไปให้ความสำคัญกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง
จอห์น สมิธ วัย 82 ปี
ความลับของชีวิตในหนึ่งประโยค
การนำชีวิตทั้งชีวิตมาใส่ไว้ในประโยคเดียวนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย
จากความลับ 5 ข้อ ที่คุณต้องค้นให้พบก่อนตาย
7/14/2009
เติมพลังให้ชีวิต1
คนเข้าแถวในงานศพมีทั้งที่นานสิบนาทีและสิบชั่วโมง
จงใช้ชีวิตในแบบที่เมื่อคุณตาย ผู้คนจะอยากอยู่เล่าเรื่องราวของชีวิตคุณ
และวิธีที่คุณส่งผลต่อชีวิตพวกเขา
เคน แครมเบียร์ กัลบกประจำเมือง วัย 64 ปี
จงเข้าใจว่าคุณเกิดมาพร้อมความสามารถที่จะอยู่กับโลกใบนี้
โดยไม่ต้องฝากชีวิตไว้กับสถานการณ์ภายนอกที่ประสบ
อย่าจริงจังกับตนเองเกินไปนัก อย่าไปยึดติดอยู่กับความคิดในสมอง
ความคิดเหล่านั้นไม่ได้เหมือนกับโลกความเป็นจริง
โดนัลด์ ไคลน์ นักจิตวิทยา วัย 84 ปี
รักใครสักคนอย่างลึกซึ้งและเป็นที่รักของใครบางคนอย่างลึกล้ำ
จงมีไฟกับตนเอง กับสิ่งที่ตนอยากรู้อยากเห็น รวมทั้งกับการสำรวจสืบค้น
แล้วลงมือทำเลย
วิลเลี่ยม ฮอว์ฟีลด์ วัย 64 ปี
การจะมีชีวิตที่มีเจตนารมณ์มากขึ้น คุณต้องปล่อยวางสิ่งที่สังคม
และผู้คนคิดเกี่ยวกับคุณ และมองเข้าไปในตนเองด้วยวิธีการบางอย่าง
เช่น สวดภาวนาหรือทำสมาธิ เพื่อสำรวจว่าอะไรสำคัญที่สุดสำหรับชีวิตคุณ
จากนั้นก็มุ่งไปตามทางนั้น
เจมส์ ออทรี กวีและนักประพันธ์ วัย 73 ปี
ถ้าคุณไม่มีความสุข จงทำอะไรสักอย่างเพื่อใครสักคน
ถ้ามัวสนใจแต่ตัวเอง คุณจะไม่มีความสุข แต่ถ้าคุณตั้งใจช่วยผู้อื่น
คุณก็จะมีความสุข ความสุขมาจากการได้ทำประโยชน์และความรัก
ฮวนนา บอร์ดาส นักประพันธ์ วัย 64 ปี
ลบคำว่า “เบื่อ” ออกจากประมวลคำศัพท์ของคุณ
ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน จงใช้ช่วงเวลานั้นให้เป็นประโยชน์ที่สุด
เพราะคุณจะไม่ได้มันกลับคืน
แม็กซ์ ไวแมน วัย 65 ปี
คุกเข่าลงจูบพื้นดิน ขอบคุณที่คุณมีชีวิตอยู่
จงรักตนเอง รักคนรอบข้าง และเก็บเกี่ยวความสุขจากการมีชีวิตอยู่ให้เต็มที่
เกร็ก นีล วัย 60 ปี
จำไว้ว่าคุณเป็นส่วนหนึ่งของอะไรบางอย่างที่ใหญ่กว่าคุณ
แอนโทนี ฮอลแลนด์ นักแสดง วัย 86 ปี
ค้นหาสิ่งที่คุณฝันใฝ่ปรารถนาและตามมันไป
ลีอา วิลเลี่ยมส์ นักประพันธ์และนักการศึกษา วัย 58 ปี
หาอะไรบางอย่างที่คุณชอบทำ และทำให้สิ่งนั้นกลายเป็นอาชีพของคุณ
ปอล เฮอร์ซี นักประพันธ์ วัย 76 ปี
คุณแม่บอกฉันว่าให้ “จริงใจกับตนเอง” นี่เป็นคำแนะนำที่สำคัญ
และจะให้ผลดีแก่คุณอย่างมหาศาล ถ้าคุณรู้ว่าอะไรที่จริงแท้สำหรับคุณ
จงจริงใจกับสิ่งที่สำคัญต่อคุณ ซึ่งคุณจะจริงใจได้ก็ต้องใคร่ครวญตนเองก่อน
แต่คุณไม่มีทางคิดออกขณะดู เดอะ ซิมป์สัน หรอกนะ
จิม สก็อตต์ นายหน้าอสังหาริมทรัพย์ วัย 60 ปี
มรดกที่คุณทิ้งไว้คือชีวิตที่คุณใช้ เราใช้ชีวิตในแต่ละวันและทิ้งมรดกไว้หนึ่งชิ้นทุกวัน
ซึ่งมรดกนี้ไม่ใช่แผนการยิ่งใหญ่อะไร แต่เป็นสิ่งที่เราทำในแต่ละวัน
และการตัดสินใจเล็กๆ น้อยๆ ทั้งหลาย เพราะเราไม่มีทางรู้ว่าสิ่งต่างๆ
จะสร้างผลกระทบอะไรบ้าง หรือตัวเราจะส่งผลกระทบเมื่อใด
จิม คูเซส นักประพันธ์ วัย 61 ปี
เรียนรู้ที่จะรักผู้อื่น เพราะถ้าคุณรู้จักรัก
ความรักจะพาคุณไปได้ทุกที่ทุกทาง
มองหาสิ่งดีๆ ในตัวผู้อื่นเสมอ
จอห์น บอยด์ จิตรกร วัยเฉียด 94 ปี
ทานอาหารสุขภาพ ออกแรงแข็งขัน
ใช้พลังงานไปกับการทำให้ที่ที่คุณอยู่
กลายเป็นชุมชนที่มีความยุติธรรมและความสุข
วิลเลี่ยม กอร์ดอน ศาสตราจารย์คณะนิเทศศาสตร์
มองหาความดีในตัวคนเสมอแล้วคุณจะไม่เสียใจ
เพราะทุกคนมีความดีงามมากมายในตัว
อย่าอิจฉาผู้อื่น เพราะคุณได้รับของขวัญและพรที่แตกต่างไป
ไอลีน ลินด์เซย์ วัย 78 ปี
ก้าวออกจากความเคยชินให้มากขึ้น
ดอน วัย 78 ปี
ใช้ชีวิตทุกวันตามที่มันเป็น ไม่ต้องห่วงว่าอะไรจะเกิดขึ้น
วันพรุ่งนี้จะดูแลตัวมันเอง อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด
รู้จักยอมรับและรอให้วันพรุ่งนี้มาถึง
เอสเธอร์ วัย 89 ปี
อย่าจมอยู่กับด้านลบของชีวิต เรื่องร้ายๆ เกิดขึ้นตลอดเวลา
จงมองหาสิ่งดีแม้ในสถานการณ์ร้ายๆ แล้วคุณจะได้เห็นเอง
รูฟัส ริกกส์ วัย 63 ปี
ปรารถนาสิ่งใดจงใช้ชีวิตตามนั้นและทำสิ่งดีแก่ผู้อื่น
ลอรา โลว์ วัย 61 ปี
ศึกษาเล่าเรียน หาคำตอบว่าคุณเป็นใคร
มาจากไหน อยากไปที่ใด แล้วอย่าลืมคนที่คุณเป็น
ราล์ฟ ดิค หัวหน้าเผ่าชนพื้นเมือง วัย 66 ปี
คุณต้องรู้เนื้อแท้ของสิ่งที่คุณเป็นอยู่ข้างใน
จงหาว่าความรู้สึกข้างในคุณคืออะไรแล้วทำความเข้าใจมัน
นี่คือกุญแจสู่การรู้จักตนเอง หากคุณรู้ว่าคุณเป็นใคร คุณจะมีที่ยึดไปตลอดชีวิต
หากคุณไม่เข้าใจว่าข้างในคุณเป็นอะไร คุณจะมีปัญหาแน่นอน
มาร์ค เชอร์โคว์ วัย 60 ปี
เลือกอาชีพที่คุณทำแล้วมีความสุข และทำให้คุณรู้สึกว่าประสบความสำเร็จ
ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ว่า คุณหาเงินใส่กระเป๋ากางเกงยีนส์ได้มากมายกี่ดอลลาร์
เงินติดปีกบินหายไปได้รวดเร็ว แต่ความรู้สึกว่าตนบรรลุผลสำเร็จจะคงอยู่ยาวนาน
ในยามราตรีคุณจะเข้านอนพร้อมกับความรู้สึกนั้น และหลับราวกับทารก
กอร์ดอน ฟูเออร์สท วัย 71 ปี
ฟังเสียงในใจคุณ มันจะบอกคุณว่าอะไรถูกอะไรผิด
มันจะนำความสุขและสันติมาให้ชีวิตคุณ
แต่ถ้าคุณไม่ฟัง มันจะสร้างความกระสับกระส่าย ความรู้สึกขาดและไร้สุข
เบิร์ต วิลสัน วัย 63 ปี
เมตตาต่อตนเองและผู้อื่น
ไม่มีทางที่คุณจะผิดพลาดพลัดหลงหากเดินบนทางเส้นนี้
มารี วัย 87 ปี
เลือกที่จะมีชีวิตให้มีความสุข
หากคุณอยากเพ่งความสนใจไปที่เรื่องแย่ๆ ก็จงทำไปเถิด
หรือจะเพ่งมองดอกลิลลี่คลี่บานในสนามหญ้าหน้าบ้านวันนี้
ซึ่งคุณก็ได้เห็นมันในวันนี้พอดี สิ่งที่คุณจดจ่อความสนใจนั่นเองที่สำคัญ
โทนี วัย 66 ปี
เวลาผมฝึกลูกๆ ของผม ซึ่งผมฝึกพร้อมกันทุกคน
ผมจะพูดดังต่อไปนี้กับพวกเขาบ่อยๆ
จนทั้งหมดพูดซ้ำให้ผมฟังได้ว่า – เล่นเต็มที่ นักกีฬาดี และสนุก
กล่าวคือจงทุ่มสุดตัว จงซื่อสัตย์ เป็นนักกีฬาที่ยุติธรรม
และอย่าเครียดกับชีวิตหรือตนเองนัก
ผมอยากจะชนะมากกว่าแพ้ แต่การได้เล่นเกมต่างหากที่สำคัญ
แจ๊ค โลว์ เจ้าของธุรกิจ วัย 67 ปี
7/13/2009
Six Steps to Setting Up Your System
The main focus of this article is to guide you through the process of developing your system. While it doesn’t take long to come up with a system, it does take some time to extensively test it. So be patient; in the long run, a good system can potentially make you a lot of money.
Step 1: Time Frame
The first thing you need to decide when creating your system is what kind of trader you are. Are you a day trader or a swing trader ? Do you like looking at charts every day, every week, every month, or even every year? How long do you want to hold on to your positions?
This will help determine which time frame you will use to trade. Even though you will still look at multiple time frames (go back to 7th grade if you forgot), this will be the main time frame you will use when looking for a trade signal.
Step 2: Find indicators that help identify a new trend.
Since one of our goals is to identify trends as early as possible, we should use indicators that can accomplish this. Moving averages are one of the most popular indicators that traders use to help them identify a trend. Specifically, they will use 2 moving averages (one slow and one fast) and wait until the fast one crosses over or under the slow one. This is the basis for what’s known as a “moving average crossover” system.In its simplest form, moving average crossovers are the fastest ways to identify new trends. It is also the easiest way to spot a new trend.
Of course there are many other ways traders’ spot trends, but moving averages are one of the easiest to use.
Step 3: Find indicators that help CONFIRM the trend.
Our second goal for our system is to have the ability to avoid whipsaws, meaning that we don’t want to be caught in a “false” trend. The way we do this is by making sure that when we see a signal for a new trend, we can confirm it by using other indicators.
There are many good indicators for confirming trends, but I really like MACD, Stochastics, and RSI. As you become more familiar with various indicators, you will find ones that you prefer over others, and can incorporate those into your system.
Step 4: Define Your Risk
When developing your system, it is very important that you define how much you are willing to lose on each trade. Not many people like to talk about losing, but in actuality, a good trader thinks about what they could potentially lose BEFORE thinking about how much they can win.
The amount you are willing to lose will be different than everyone else. You have to decide how much room is enough to give your trade some breathing space, but at the same time, not risk too much on one trade. You’ll learn more about money management in a later lesson. Money management plays a big role in how much you should risk in a single trade.
Step 5: Define Entries & Exits
Once you define how much you are willing to lose on a trade, your next step is to find out where you will enter and exit a trade in order to get the most profit.
Some people like to enter as soon as all of their indicators match up and give a good signal, even if the candle hasn’t closed. Others like to wait until the close of the candle.
In my experience, I have found that it is best to wait until a candle closes before entering. I have been in many situations where I will be in the middle of a candle and all my indicators match up, only to find that by the close of the candle, the trade has totally reversed on me!
It’s all really just a matter of trading style. Some people are more aggressive than others and you will eventually find out what kind of trader you are.
For exits, you have a few different options. One way is to trail your stop, meaning that if the price moves in your favor by ‘X’ amount, you move your stop by ‘X’ amount.
Another way to exit is to have a set target, and exit when the price hits that target. How you calculate your target is up to you. Some people choose support and resistance levels as their targets. Others just choose to go for the same amount of pips on every trade. However you decide to calculate your target, just make sure you stick with it. Never exit early no matter what happens. Stick to your system! After all, YOU developed it!
One more way you can exit is to have a set of criteria that, when met, would signal you to exit. For example, you could make it a rule that if your indicators happen to reverse to a certain level, you would then exit out of the trade.
Step 6: Write down your system rules and FOLLOW IT!
This is the most important step of creating your trading system. You MUST write your trading system rules down and ALWAYS follow it. Discipline is one of the most important characteristics a trader must have, so you must always remember to stick to your system! No system will ever work for you if you don’t stick to the rules, so remember to be disciplined. Oh yea, did I mention you should ALWAYS stick to your rules?
http://www.babypips.com/school/trading_system.html
Money management การบริหารพอร์ทให้ได้กำไร
ทำไม Money management ถึงสำคัญ เพราะเราต้องการที่จะทำกำไร เราต้องเรียนรู้การบริหารจัดการเงิน แต่คนส่วนมากได้มองข้ามมันไป
Trader หลายคน เทรดโดยที่ไม่มีหลักการ และดูแค่ว่าสามารถเสียได้เท่าไรในการเทรด 1 ครั้ง แล้วก็เทรดเลย อย่างนี้ค้าเรียกว่าการพนันไม่ใช่ การลงทุน
ถ้า คุณเทรดโดย ไม่ใช้ Money management นั้น มันก็เหมือนกับว่าคุณกำลังเล่นพนันอยู่ คุณไม่ได้มองการลงทุนระยะยาว คุณกำลัง รอ jackpot การบริหารเงินไม่เพียงช่วยเราป้องกันเงินทุน ยังสามารถทำให้มีกำไรในระยะยาวอีกด้วย
อันนี้เป็นตัวอย่างที่ทำให้เห็นว่า สถิติ สามารถ สร้างกำไรได้เหนือกว่า การพนัน
ทีนี้คุณจะทำยังไงถึงจะเป็น นักสถิติที่ดีได้ ไม่ล้มเหลว
Money management นั้นสามารถทำกำไร ได้ในระยะยาวถ้าไม่ใช้กฎของ Money management จะเกิดอะไรขึ้นเรามาดูตัวอย่าง
สมมุตรว่าคุณ มีเงินอยู่ $10000 และคุณเสียไป $5000 คุณเสียไปทั้งหมดกี่เปอร์เซนต์ คำตอบคือ 50 เปอร์เซนต์ แล้วคุณต้องทำกี่เปอร์เซนต์เงิน $5000 ของคุณ ถึงจะกลับไปเท่าเดิมคือ $10000 คุณต้องทำถึง 100 เปอร์เซนต์ ไม่ใช่ 50 เปอร์เซนต์ เค้าเรียกว่า Drawdown จะเห็นว่ามันน่าหงุดหงิดมาก เพราะมันง่ายมากในการเสียไป แต่ได้กลับคืนมาเท่าเดิมนั้น ยากกว่า ซึ่งผู้อ่านคงไม่คิดที่จะเสีย เทรดเดียว 50 เปอร์เซนต์ ผมหวังว่าเป็นเช่นนั้น
อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณเทรดเสีย 3, 4 หรือ 10 เทรดติดกันล่ะ มันดูเหมือนจะเกิดได้ยากถ้าคุณคิดว่าคุณมี trade system ที่มีเปอร์เซนต์ชนะ 70 เปอร์เซนต์ ดังนั้นคุณไม่มีทางเสีย ติดต่อกันได้ถึง 10 ครั้ง ถ้าคุณคิดว่าคุณมี Trade system ที่ดี ในการเทรด Trade system ที่ทำ profitable ได้ 70 เปอร์เซนต์ ดูเหมือนเป็น system ที่ดีมาก แต่มันไม่ได้หมายความว่า ใน100 เทรดคุณจะชนะ 70เทรด
คุณจะรู้ได้อย่างไร ว่า 70 ใน 100 เทรดจะชนะ คุณไม่มีทางรู้ได้ คุณ อาจจะเสีย 30 เทรดแรก แล้วไปชนะ 70 เทรดที่เหลือ ซึงยังให้ผลที่ 70 เปอร์เซนต์ แต่คุณก็คงเสียหายหนัก
จากตัวอย่างจะทำให้รู้ว่า Money management นั้นสำคัญ ไม่ว่าคุณจะมี Trading System ดีสักเท่าไร แต่ก็ต้องมีที่คุณเสีย เหมือนผู้เล่น Poker มืออาชีพ ถึงเค้าจะเล่นเสียครั้งใหญ่ แต่สุดท้ายเค้าก็จะจบด้วยกำไร
ผู้เล่น Poker เก่งๆจะฝึกฝน Money management เพราะเค้ารู้ว่าไม่สามารถชนะได้ทุกเกมส์ เค้าจะเล่นด้วยจำนวนเงินที่น้อย จากเงินทั้งหมดที่เค้ามี มันสามารถทำให้เค้ารอดพ้นจากการเสียครั้งใหญ่ได้ นี่คือสิ่งที่คุณต้องทำในฐานะ trader เทรดใน เปอร์เซนต์ที่น้อยจากจำนวนเงินที่มีทั้งหมด เพื่อลดความสูญเสียที่อาจจะเกิดขึ้นเมื่อคุณฝึกฝน และ เคร่งครัดกับ Money management คุณ จะเปลี่ยนจากนักพนัน กลายเป็นเจ้ามือ ที่จะทำกำไรได้ระยะยาว
Risk to reward
เป็นการเทรดที่ อัตราส่วนอยู่ที่ 3 ต่อ 1 คือ Winner trade ต้องมากกว่า 3 เท่าจาก looser trade ถ้าเทรด แพ้ และ ชนะ สลับกันProfitable trade จะอยู่แค่ 50 เปอร์เซนต์ แต่เรามีกำไร นะครับ
Credit http://www.babypips.com/school/money_management.html
แปลโดย Golink
7/12/2009
กฎ10ข้อ
1. ดูแนวโน้ม
เรียน รู้ชาร์ตในระยะยาว โดยเริ่มการวิเคราะห์ชาร์ตในระดับเดือนและสัปดาห์ ของช่วงเวลาหลายๆปี การดูชาร์ตในระดับของช่วงเวลาที่กว้างขึ้นจะทำให้สามารถมองเป็นแนวโน้มของ ตลาดในระยะยาวได้ชัดเจนขึ้น เมื่อทราบถึงแนวโน้มระยะยาวแล้ว จึงจะดูชาร์ตในระดับวันและนาที การดูแนวโน้มในช่วงสั้นเพียงอย่างเดียวจะทำให้เกิดความผิดพลาดได้ ถึงแม้ว่าคุณจะลงทุนในระยะสั้น คุณจะได้ผลตอบแทนที่ดีกว่าหากคุณลงทุนในทิศทางเดียวกับแนวโน้มในระยะกลางและ ยาว
2. วิเคราะห์และไปตามแนวโน้ม
แนวโน้มของตลาดมีหลายช่วงเวลา ระยะยาว ระยะกลาง และระยะสั้น สิ่งแรกคือ คุณต้องรู้ว่าคุณจะลงทุนในระยะเวลาเท่าใด และวิเคราะห์ชาร์ตของช่วงเวลาที่เหมาะสม โดยที่คุณต้องแน่ใจว่าคุณลงทุนไปในทิศทางเดียวกับแนวโน้มในระยะเวลานั้นๆ ซื้อเมื่อแนวโน้มอยู่ในขาขึ้น และขายเมื่อแนวโน้มอยู่ในขาลง หากคุณลงทุนในระยะกลาง ให้ใช้ชาร์ตในระดับวันและสัปดาห์ ถ้าคุณลงทุนระยะสั้น ให้ใช้ชาร์ตระดับวันและรายนาที อย่างไรก็ตาม ในแต่ละกรณี ให้ดูแนวโน้มของช่วงเวลาที่ยาวขึ้น และใช้ชาร์ตของช่วงเวลาที่สั้นลงในการหาจุดที่จะเข้าซื้อ-ขาย
3. หาจุดสูงสุดและต่ำสุด
วิเคราะห์ แนวรับและแนวต้าน จุดที่ดีที่สุดในการเข้าซื้อก็คือจุดใกล้แนวรับซึ่งมักจะเป็นจุดต่ำสุดของ รอบการซื้อขายที่แล้ว จุดที่ดีที่สุดสำหรับการขายก็คือจุดที่ใกล้แนวต้าน ซึ่งมักจะเป็นจุดสูงสุดของรอบการซื้อขายที่แล้ว หากมีการเคลื่อนผ่านแนวต้าน แนวต้านนั้นจะกลายเป็นแนวรับสำหรับการปรับตัวลดลง อีกนัยหนึ่ง จุดสูงสุดเดิมกลายเป็นจุดสูงสุดใหม่ และเช่นเดียวกัน ในกรณีที่ราคาทะลุผ่านแนวรับ มักจะมีแรงขายออกมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้จุดต่ำสุดเดิมกลายเป็นจุดต่ำสุดใหม่
4. รู้ว่าจะไปไกลแค่ไหนจึงจะกลับตัว
เทียบ อัตราส่วนการขึ้น-ลง เป็นเปอร์เซนต์ โดยทั่วไปตลาดจะมีการกลับตัวทั้งขึ้นและลงตามสัดส่วนเปอร์เซนต์ของแนวโน้ม ของช่วงก่อน คุณสามารถวัดอัตราส่วนของการปรับตัวขึ้นหรือลงของแนวโน้มปัจจุบันได้โดยใช้ อัตราส่วนชุดหนึ่งที่มีการกำหนดค่าไว้แล้ว เช่น การกลับตัวขึ้นหรือลง 50%ของแนวโน้มก่อน เป็นอัตราพื้นฐานที่ใช้กันบ่อย อัตราส่วนต่ำสุดของการวัดการดีดกลับ คือ 1/3 ของแนวโน้มก่อน และอัตราส่วนสูงสุดคือ 2/3 อัตราส่วนที่สำคัญและควรให้ความสนในก็คือ อัตราส่วน Fibonacci 36% และ 62% ดังนั้น เมื่อตลาดมีการพักในช่วงแนวโน้มขาขึ้น จะมีจุดซื้อคืนจุดแรกเมื่อตลาดปรับตัวลง 33-38% ของจุดสูงสุด
5. ใช้เส้นแนวโน้ม
เส้น แนวโน้มเป็นหนึ่งในเครื่องมือการวิเคราะห์ที่ง่ายและมีประสิทธิภาพที่สุด สิ่งที่ต้องคำนึงถึงมีเพียงขอบเขตที่เส้นแนวโน้มแสดงและจุด 2 ตำแหน่งบนชาร์ต เส้นแนวโน้มขาขึ้นวาดโดยใช้จุดต่ำสุด 2 จุด ที่อยู่ใกล้กัน และเส้นแนวโน้มขาขึ้นวาดโดยใช้จุดสูงสุด 2 จุดใกล้กัน ราคาของหุ้นมักจะเคลื่อนเข้าใกล้เส้นแนวโน้มก่อนที่จะเคลื่อนกลับเข้าสู่แนว โน้มของมัน หากราคาทะลุผ่านเส้นแนวโน้ม จะแสดงถึงสัญญาณของการเปลี่ยนแนวโน้ม เส้นแนวโน้มจะมีผลเมื่อราคาเคลื่อนแตะที่เส้น 3 ครั้งเป็นอย่างน้อย เส้นแนวโน้มที่ลากได้ยิ่งยาว หมายถึง จำนวนครั้งมากขึ้นของการทดสอบเส้นแนวโน้ม และยิ่งทำให้เส้นแนวโน้มมีความสำคัญมากขึ้น
6. ติดตามค่าเฉลี่ย
หมาย ถึงการเคลื่อนไหวของเส้นค่าเฉลี่ย ซึ่งจะบอกถึงราคาเป้าหมายที่จะซื้อและขาย เส้นค่าเฉลี่ยเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าราคาอยู่ในแนวโน้มเช่นใดและช่วยยืนยัน สัญญาณการเปลี่ยนแนวโน้ม อย่างไรก็ตาม เส้นค่าเฉลี่ยไม่ใช่เครื่องมือที่จะบอกล่วงหน้าว่าแนวโน้มกำลังจะเปลี่ยน รูปแบบของการใช้เส้นค่าเฉลี่ยที่เป็นที่นิยมคือการใช้เส้นค่าเฉลี่ย 2 เส้นเพื่อหาจุดซื้อ-ขาย ค่าที่นิยมใช้สำหรับค่าเฉลี่ยที่ใช้คู่กันคือ 5 วันและ10 วัน, 10 วันและ25วัน, 25 วันและ 50 วัน สัญญาณซื้อ-ขายเกิดขึ้นเมื่อเส้นที่มีค่าเฉลี่ยสั้นกว่าตัดกับเส้นที่ ยาวกว่า หรือ เมื่อราคาเคลื่อนผ่านเส้นค่าเฉลี่ย 25 วัน เนื่องจากเส้นค่าเฉลี่ยต่างๆเป็นดัชนีที่เคลื่อนไปตามแนวโน้ม การใช้เส้นค่าเฉลี่ยจึงเหมาะสำหรับตลาดที่ในช่วงที่มีแนวโน้มที่ชัดเจน
7. รู้ถึงจุดที่ตลาดกลับตัว
Oscillators (เครื่องมือที่มีตัวเลข ตั้งแต่ 0 ถึง 100) เป็นดัชนีที่ช่วยชี้บอกจุดที่มีการซื้อหรือขายมากเกินไป ในขณะที่เส้นค่าเฉลี่ยจะช่วยยืนยันว่าตลาดการเปลี่ยนแนวโน้ม Oscillators จะช่วยเตือนล่วงหน้าว่าตลาดเคลื่อนไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่งมากเกินไป และทำให้เกิดการกลับตัว Oscillators ที่เป็นที่นิยม ได้แก่ Relative Strength Index (RSI) และ Stochastics ทั้งสองตัวนี้จัดเป็นเครื่องมือที่เรียกว่า Oscillators เพราะให้ค่าที่อยู่ในช่วง 0 ถึง 100 เมื่อ RSI มีค่าเกิน 70 จะแสดงถึงการซื้อที่มีมากเกินไป (Overbought) และ ต่ำกว่า 30 แสดงถึงการขายมากเกินไป (Oversold) ค่า Overbought และ Oversold สำหรับ Stochastics คือ 80 และ 20 นักลงทุนส่วนใหญ่ใช้ค่า 14 วันหรือสัปดาห์สำหรับการคำนวณ Stochastics และ 9 หรือ 14 วันหรือสัปดาห์สำหรับ RSI สัญญาณกลับตัวที่เกิดใน Oscillators จะเป็นสัญญาณเตือนว่าตลาดกำลังจะกลับตัว เครื่องมือเหล่านี้ใช้ได้ดีเมื่อตลาดอยู่ในช่วงที่เหมาะกับการเล่นเก็งกำไร และไม่แสดงแนวโน้มที่ชัดเจน สัญญาณในระดับสัปดาห์สามารถนำมาใช้ช่วยในการขจัดสัญญาณหลอกและยืนยันสัญญาณ ในระดับวัน และใช้สัญญาณระดับวันสำหรับยืนยันสัญญาณในรายนาที
8. มองเห็นสัญญาณเตือน
Moving Average Convergence Divergence (MACD) เป็นดัชนีวัด (พัฒนาโดย Gerald Appel) ที่รวมเอาระบบการตัดผ่านของเส้นค่าเฉลี่ยและการชี้จุด Overbought/Oversold ของ Oscillators ไว้ด้วยกัน สัญญาณซื้อจะเกิดเมื่อเส้นที่เร็วกว่าตัดขึ้นเหนือเส้นที่ช้ากว่า โดยที่ทั้ง 2 เส้นอยู่ต่ำกว่าศูนย์ สัญญาณขายเกิดเมื่อเส้นที่เร็วกว่าตัดลงต่ำกว่าเส้นที่ช้ากว่าที่เหนือ ศูนย์ สัญญาณในระดับสัปดาห์จะมีน้ำหนักและความสำคัญมากกว่าสัญญาณในระดับวัน MACD histogram ซึ่งมีลักษณะเป็นแท่ง แสดงถึงส่วนต่างระหว่าง MACD ทั้งสองเส้น สามารถส่งสัญญาณเตือนว่าจะมีการเปลี่ยนแนวโน้มได้เร็วกว่าอีกด้วย
9. เป็นแนวโน้มหรือไม่เป็นแนวโน้ม
Average Directional Index (ADX) เป็นดัชนีที่จะบอกว่าตลาดอยู่ในช่วงที่มีแนวโน้มหรือไม่ และเป็นตัวช่วยวัดว่าแนวโน้มนั้นอยู่ในระดับใด เส้น ADX ที่ชี้ขี้นแสดงถึงแนวโน้มที่มีความชัดเจนมาก ควรใช้เส้นค่าเฉลี่ยในการวิเคราะห์ หากเส้น ADX ปรับตัวต่ำลง แสดงถึงตลาดที่ไม่มีแนวโน้มและเหมาะสำหรับเก็งกำไรระยะสั้น ควรใช้ Oscillators ในการวิเคราะห์ การใช้ ADX ช่วยนักลงทุนในการวางแผนกลยุทธ์การลงทุนและในการเลือกเครื่องมือที่เหมาะสม กับสภาวะตลาด
10. รู้จักการดูสัญญาณเพื่อยืนยันแนวโน้ม
สัญญาณ ที่ให้การยืนยันรวมถึงปริมาณการซื้อขายและจำนวนการซื้อขายที่มีการลงทุนจาก ผู้ที่เข้ามาซื้อขายใหม่ (open interest) ทั้ง 2 ตัวนี้เป็นเครื่องมือสำคัญในการยืนยันแนวโน้มสำหรับตลาดล่วงหน้า ปริมาณการซื้อขายมักจะส่งสัญญาณกลับตัวก่อนที่ราคาจะกลับตัว สิ่งสำคัญคือจะต้องมั่นใจว่ามีปริมาณการซื้อขายอย่างหนาแน่นในทิศทางเดียว กับแนวโน้มปัจจุบัน ในแนวโน้มขาขึ้น ควรมีปริมาณการซื้อขายที่มากขึ้นเพื่อยืนยันว่าแนวโน้มนั้นยังแข็งแรงอยู่ ส่วน open interest ที่เพิ่มขึ้นนั้นจะช่วยยืนยันว่ามีเงินไหลเข้ามาต่อเนื่องและช่วยหนุนให้แนว โน้มปัจจุบันคงอยู่ หาก open interest ลดลง ย่อมเป็นสัญญาณเตือนว่าแนวโน้มนั้นใกล้สิ้นสุดลง ดังนั้นราคาที่มีแนวโน้มสูงขึ้นควรจะมีปริมาณซื้อขายและ open interest หนุนอยู่ด้วย
John Murphy's Ten Laws of Technical Trading
1. Map the Trends
Study long-term charts. Begin a chart analysis with monthly and weekly charts spanning several years. A larger scale map of the market provides more visibility and a better long-term perspective on a market. Once the long-term has been established, then consult daily and intra-day charts. A short-term market view alone can often be deceptive. Even if you only trade the very short term, you will do better if you're trading in the same direction as the intermediate and longer term trends.
2. Spot the Trend and Go With It
Determine the trend and follow it. Market trends come in many sizes – long-term, intermediate-term and short-term. First, determine which one you're going to trade and use the appropriate chart. Make sure you trade in the direction of that trend. Buy dips if the trend is up. Sell rallies if the trend is down. If you're trading the intermediate trend, use daily and weekly charts. If you're day trading, use daily and intra-day charts. But in each case, let the longer range chart determine the trend, and then use the shorter term chart for timing.
3. Find the Low and High of It
Find support and resistance levels. The best place to buy a market is near support levels. That support is usually a previous reaction low. The best place to sell a market is near resistance levels. Resistance is usually a previous peak. After a resistance peak has been broken, it will usually provide support on subsequent pullbacks. In other words, the old "high" becomes the new low. In the same way, when a support level has been broken, it will usually produce selling on subsequent rallies – the old "low" can become the new "high."
4. Know How Far to Backtrack
Measure percentage retracements. Market corrections up or down usually retrace a significant portion of the previous trend. You can measure the corrections in an existing trend in simple percentages. A fifty percent retracement of a prior trend is most common. A minimum retracement is usually one-third of the prior trend. The maximum retracement is usually two-thirds. Fibonacci retracements of 38% and 62% are also worth watching. During a pullback in an uptrend, therefore, initial buy points are in the 33-38% retracement area.
5. Draw the Line
Draw trend lines. Trend lines are one of the simplest and most effective charting tools. All you need is a straight edge and two points on the chart. Up trend lines are drawn along two successive lows. Down trend lines are drawn along two successive peaks. Prices will often pull back to trend lines before resuming their trend. The breaking of trend lines usually signals a change in trend. A valid trend line should be touched at least three times. The longer a trend line has been in effect, and the more times it has been tested, the more important it becomes.
6. Follow that Average
Follow moving averages. Moving averages provide objective buy and sell signals. They tell you if existing trend is still in motion and help confirm a trend change. Moving averages do not tell you in advance, however, that a trend change is imminent. A combination chart of two moving averages is the most popular way of finding trading signals. Some popular futures combinations are 4- and 9-day moving averages, 9- and 18-day, 5- and 20-day. Signals are given when the shorter average line crosses the longer. Price crossings above and below a 40-day moving average also provide good trading signals. Since moving average chart lines are trend-following indicators, they work best in a trending market.
7. Learn the Turns
Track oscillators. Oscillators help identify overbought and oversold markets. While moving averages offer confirmation of a market trend change, oscillators often help warn us in advance that a market has rallied or fallen too far and will soon turn. Two of the most popular are the Relative Strength Index (RSI) and Stochastics. They both work on a scale of 0 to 100. With the RSI, readings over 70 are overbought while readings below 30 are oversold. The overbought and oversold values for Stochastics are 80 and 20. Most traders use 14-days or weeks for stochastics and either 9 or 14 days or weeks for RSI. Oscillator divergences often warn of market turns. These tools work best in a trading market range. Weekly signals can be used as filters on daily signals. Daily signals can be used as filters for intra-day charts.
8. Know the Warning Signs
Trade MACD. The Moving Average Convergence Divergence (MACD) indicator (developed by Gerald Appel) combines a moving average crossover system with the overbought/oversold elements of an oscillator. A buy signal occurs when the faster line crosses above the slower and both lines are below zero. A sell signal takes place when the faster line crosses below the slower from above the zero line. Weekly signals take precedence over daily signals. An MACD histogram plots the difference between the two lines and gives even earlier warnings of trend changes. It's called a "histogram" because vertical bars are used to show the difference between the two lines on the chart.
9. Trend or Not a Trend
Use ADX. The Average Directional Movement Index (ADX) line helps determine whether a market is in a trending or a trading phase. It measures the degree of trend or direction in the market. A rising ADX line suggests the presence of a strong trend. A falling ADX line suggests the presence of a trading market and the absence of a trend. A rising ADX line favors moving averages; a falling ADX favors oscillators. By plotting the direction of the ADX line, the trader is able to determine which trading style and which set of indicators are most suitable for the current market environment.
10. Know the Confirming Signs
Include volume and open interest. Volume and open interest are important confirming indicators in futures markets. Volume precedes price. It's important to ensure that heavier volume is taking place in the direction of the prevailing trend. In an uptrend, heavier volume should be seen on up days. Rising open interest confirms that new money is supporting the prevailing trend. Declining open interest is often a warning that the trend is near completion. A solid price uptrend should be accompanied by rising volume and rising open interest.
"11."
Technical analysis is a skill that improves with experience and study. Always be a student and keep learning.
- John Murphy
Definitions: Leonardo Fibonacci was a thirteenth century mathematician who "rediscovered" a precise and almost constant relationship between Hindu-Arabic numbers in a sequence (1,1,2,3,5,8,13,21,34,55,89,144,etc. to infinity). The sum of any two consecutive numbers in this sequence equals the next higher number. After the first four, the ratio of any number in the sequence to its next higher number approaches .618. That ratio was known to the ancient Greek and Egyptian mathematicians as the "Golden Mean" which had critical applications in art, architecture and in nature.
Stochastics - an oscillator popularized by George Lane in an article on the subject which appeared in 1984. It is based on the observation that as prices increase, closing prices tend to be closer to the upper end of the price range; conversely, in down trends, closing prices tend to be near the lower end of the range. Stochastics has slightly wider overbought and oversold boundaries than the RSI and is therefore a more volatile indicator. The term "stochastic" refers to the location of a current futures price in relation to its range over a set period of time (usually 14 days).